การกำหนดขนาดกล่องบรรจุภัณฑ์สำคัญเช่นไร
ในการออกแบบ และผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษ สิ่งที่มักจะถูกมองข้าม และให้ความสำคัญน้อยเกินไป คือ การกำหนดรูปแบบ และขนาดบรรจุภัณฑ์ ให้ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งส่งผลให้ราคาสูงเกินไปโดยไม่จำเป็น บทความนี้จึงเขียนขึ้นเพื่อให้ข้อมูล และคำแนะนำในการกำหนดขนาดที่ดี
รูปกล่องยาสีฟันแบบที่ลูกค้ามักจะระบุขนาดมาผิดเสมอ เพราะถ้าดูตามลายกล่องแล้ว จะดูเป็นกล่องทรงเตี้ย โดยปกติแล้ว เรามักเข้าใจว่า กล่องบรรจุภัณฑ์ ระบุเพียงขนาด กว้าง x ยาว x สูง ก็เพียงพอแล้ว แต่รูปแบบ และลักษณะของกล่องมีหลากหลายรูปแบบมากมาย หากระบุขนาดโดยมีความเข้าใจไม่ตรงกัน จะทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย หนึ่งในนั้นคือ ขนาดกระดาษที่ใช้ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจจะมีผลกับราคาเป็นอย่างมากได้ และหลายครั้งที่เราได้พบเจอ ลูกค้ามักจะระบุขนาดตามลักษณะของการวางกล่องนั้น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้
ดังนั้นทาง 
จึงเล็งเห็นว่าควรกำหนดมาตรฐานในการระบุขนาดของกล่อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ทั้งกับลูกค้า และทุกหน่วยงานภายในบริษัท
รูปแบบกล่องโดยทั่วๆ ไปจะมีหลักๆอยู่ 3 แบบ
1. เปิดหัวท้าย
2. ฝาครอบ
3. แบบสไลด์ หรือปลอกสวม
กล่องเปิดหัวท้าย
กล่องแบบฝาครอบ
กล่องแบบสไลด์ หรือแบบปลอกสวม
จากประสบการณ์ของเรา ไม่ว่ารูปแบบกล่องจะเป็นลักษณะใด เพื่อให้ง่ายในการจดจำ และเป็นมาตรฐานเดียวกัน เราจึงกำหนดมาตรฐานในการระบุขนาดของกล่องเอาไว้ โดยกำหนดให้ด้านที่เป็นทิศทางการเปิดบรรจุภัณฑ์เป็น ด้านความสูง เสมอ ส่วนที่เป็น ด้านความกว้าง และ ด้านความยาว สำหรับกล่องแบบเปิดหัวท้าย จะกำหนดให้ด้านที่เป็นความยาวของฝาปิดกล่อง (B) เป็น ด้านความยาว และด้านที่เหลือ (A) จะเป็น ด้านความกว้าง เสมอ โดย ไม่คำนึงถึงว่าด้านยาวจะต้องมีขนาดมากกว่าด้านกว้าง เพราะจะมีกล่องเปิดหัวท้ายในรูปแบบที่ ด้านกว้างจะมีความยาวมากกว่าด้านยาวของกล่อง เพื่อใช้ส่วนของฝากล่องนี้ ทำเป็นส่วนของการโชว์ และจัดวางชิ้นงาน ทั้งนี้กล่องในรูปแบบอื่น มักจะไม่เจอปัญหาในลักษณะนี้ การระบุด้านกว้างและยาว ก็อาศัยขนาดของระยะเป็นหลัก ตัวน้อยเป็น ความกว้าง ตัวมาก เป็น ความยาว
การกำหนดขนาดกล่องตามมาตรฐาน
กล่องยาสีฟันในรูป เป็นกล่องแบบเปิดหัวท้าย ลักษณะการวางแบบของกล่องมาเป็นแนวสูง การระบุขนาดโดยปกติก็มักจะระบุได้ถูกต้อง ไม่ค่อยมีปัญหา แต่โดยปกติกล่องลักษณะนี้ก็มักจะจัดวางในแนวนอนตามในรูป ทำให้บางครั้งลูกค้าแจ้งขนาดมาให้ผิด โดยเรียกด้าน A เป็นด้านความสูงแทน ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งส่งผลต่อเนื่องกับราคาของกล่องเนื่องจากขนาดของวัสดุที่ใช้ในการผลิตจะไม่ถูกต้อง ซึ่งจะแสดงให้เห็นในลำดับถัดไป
เกิดอะไรขึ้นหากเราระบุขนาดกล่องผิด
กล่องยาสีฟันในรูปนี้ หากกำหนดตามมาตรฐานที่ถูกต้อง ขนาดจะเป็น 38x48x190 mm. แต่หากกำหนดโดยระบุด้านความสูงผิด กล่องก็จะระบุขนาดเป็น 48x190x38 mm. ซึ่งถ้าตามมาตรฐานที่กำหนดขึ้น กล่องจะกลายเป็นคนละแบบ แตกต่างไปจากที่ต้องการอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมาในการขอรายละเอียดของบรรจุภัณฑ์จากทางลูกค้า พบว่ามีความสับสนเสมอในการระบุขนาดของกล่อง
เรามาดูกันว่า ขนาดกล่อง ส่งผลกับ ขนาดกระดาษ ที่ต้องใช้อย่างไร
แบบ A. กล่องขนาด 38x48x190 mm.
แบบ B. กล่องขนาด 48x190x38 mm.
ขนาดกระดาษที่ต้องใช้ของทั้ง 2 แบบ จะเป็นตามนี้
แบบ A. กล่องขนาด 38x48x190 mm.
ขนาดกระดาษที่ต้องใช้ คือ 185 x 287 mm.
แบบ B. กล่องขนาด 48x190x38 mm.
ขนาดกระดาษที่ต้องใช้ คือ 154 x 489 mm.
ขนาดกระดาษที่ต้องใช้สำหรับผลิตกล่องรูปแบบ A และ แบบ B เป็นคนละขนาดกัน โดยด้าน 185 mm. เทียบกับ 154 mm. จะแตกต่างกันไม่มาก แต่ด้าน 287 mm. เทียบกับ 489 mm. มีความยาวต่างกันอย่างมาก เป็นผลให้ต้นทุนในการผลิตกล่องรูปแบบ B จะสูงกว่า
ตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น ตั้งใจนำเสนอให้เห็นภาพชัดเจนในแง่ของขนาดกระดาษที่ต้องใช้ในการผลิต มีความแตกต่างกันหากมีการระบุขนาดไม่เป็นไปตามมาตรฐาน แต่ในทางปฎิบัติจริง ก่อนที่จะมีการสรุปรูปแบบของกล่องบรรจุภัณฑ์เพื่อผลิต จะมีการส่งแบบไดคัท หรือ ตัวอย่างงาน (Mock up) ให้ลูกค้าตรวจสอบก่อนเสมอ หากรูปแบบไม่ถูกต้อง ก็ต้องทำการแก้ไขทั้งไดคัท และอาร์ตเวอร์คของกล่อง อีกทั้งบางครั้งก็ยังมีผลกระทบกับต้นทุนของกล่องบรรจุภัณฑ์ทำให้กลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ทำให้ขั้นตอนการผลิตล่าช้าออกไป เราจึงอยากสร้างมาตรฐาน และความเข้าใจในการกำหนดขนาดบรรจุภัณฑ์ให้ถูกต้องตรงกันในทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
ทาง หวังว่า บทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกๆ ท่านไม่มากก็น้อย เรายินดีให้คำปรึกษาเรื่องงานพิมพ์ และกล่องบรรจุภัณฑ์
